Digital Divide
คำๆ นี้เป็นคำที่เจออยู่ในหนังสือ Marketing 5.0 เป็นคำที่ดูแปลกดีถ้าจะแปลตรงๆ เลยมาขยายความสักหน่อย
ในความหมายปกติ Digital Divide คือช่องว่างของกลุ่มคนที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกดิจิตอลกับคนที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับโลกดิจิตอลได้
ยกตัวอย่างในช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็น ในกรณีของ เราชนะ ที่เห็นผู้เฒ่าผู้แก่เดินทางมาเป็นชั่วโมงเพื่อที่จะมาต่อแถวที่ธนาคารกรุงไทย เพียงเพื่อจะลงทะเบียน และรับเงินเยียวยา ขณะที่คนที่มี Smartphone และมีความสามารถด้านดิจิตอลสามารถเข้าถึงเราชนะได้อย่างรวดเร็ว
หรือในช่วงโควิท ที่มีข่าวว่าเด็กต้องไปนั่งเรียนออนไลน์กลางแดด เพราะสัญญาณไม่ถึงทำให้เข้าไปเรียนที่บ้านไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ในช่วงที่ผ่านมาก็มีเหตุการณ์คล้ายๆกันในประเทศเยอรมัน และสหรัฐอเมริกา
ซึ่งการขาดความสามารถในการเข้าถึงหรือเข้าถึงได้ยากลำบากนี่เองที่ทำให้คนถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ก็จะสามารถเข้าถึงทรัพยากร ความรู้ หรือโอกาสต่างๆ
ขณะที่กลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ก็จะไม่ได้รับโอกาสที่ได้พูดมา หรือมีความไม่สะดวกในการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ
ในปัจจุบัน แม้ว่าการพัฒนาทางด้านโครงสร้างพื้นฐานจะดีขึ้นมาก แต่ก็มีปัญหาอื่นๆที่จำกัดการเข้าถึงทรัพยากรนี้ เช่น ต้นทุนในการเชื่อมต่อ หรือความยากง่ายในการใช้งาน การมีโทรศัพท์และ data plan ที่ราคาสมเหตุสมผลก็จะช่วยให้มีผู้คนเข้ามาสู่โลกดิจิตอลได้มากขึ้น
นอกจากนี้ประสบการณ์ทางดิจิตอลก็สามารถได้มาจากโครงสร้างและสภาวะรอบตัว ตัวอย่างเช่น งานแสดงศิลปะ teamLab Borderless ที่นำเอาเทคโนโลยีดิจิตอลมา สร้างงานศิลปะ ที่ทำให้ผู้คนที่เข้าชม รื่นรมและตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามต่างๆ
หรือระบบแสกนหน้าและอุณหภูมิแบบ Touch-less ตามที่ต่างๆ ก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้คนทุกคนที่เดินเข้ามาในสถานที่นั้นๆ
แล้วเทคโนโลยีจะช่วยอะไรกับผู้คนบ้าง
ในมุมมองของ Marketing 5.0 จะมองอยู่ 3 มุมมองได้แก่
- Personal โดย เทคโนโลยีจะช่วยในการสรรหาทางเลือกที่ลูกค้าต้องการ และเอาทางเลือกที่ไม่เกี่ยวข้องจำนวนมากมายออกไป นอกจากนี้ลูกค้าจะยังสามารถควบคุมข้อมูลหรือการแสดงผลอะไรบางอย่างเองได้
- Social social Network มีอิทธิพลอย่างมากกับผู้ใช้ เช่นการตัดสินใจซื้อ การส่งแรงบันดาลใจ นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
- Experiential เทคโนโลยีสามารถช่วยทำให้การติดต่อมีความเข้าใจกันมากขึ้น แม้ว่าตัว Technology จะไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกได้ แต่ก็ยังสามารทำงานแทนคนแล้วทำให้คนมีเวลาที่จะเรียนรู้และเข้าใจคนอื่นได้ นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนา Customer Engagement จากความต่อเนื่องการหาท่าหรือเทคนิคใหม่ๆขึ้นมา
สุดท้ายในมุมมองของ Marketing 5.0 แม้ Digital Divide จะยังไม่หายไปเร็วๆนี้ แต่ถ้าเรานำเอาเทคโนโลยีมาช่วงสนับสนุน ก็จะช่วยให้คนเข้าถึงโลกดิจิตอลได้ และจะได้รับประโยชน์จาก การเข้าถึงข้อมูลและโอกาสต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน
จุดสำคัญอย่างหนึ่งคือ อย่ากลัวการมาของโลกดิจิตอล มันจะช่วยให้เราไปสู่สังคมที่ดีและมีความยั่งยืนได้