MKT 5.0: เมื่อ Next CX คือการหลอมรวมอย่างกลมกล่อม
เมื่อคนและหุ่นยนต์มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน การร่วมมือกันของทั้งสองในสัดส่วนที่เหมาะสมย่อมจะทำให้สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าได้
ในบทเริ่มด้วยสถานการณ์จริงในโรงแรมชื่อ Henn na ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโรงแรมแรกที่ใช้หุ่นยนต์มาดูแลลูกค้าทั้งหมดแทนคน สาเหตุหนึ่งคือแรงงานญี่ปุ่นก็หายากพอสมควร อีกสาเหตุคือโรงแรมนี้มีความพยายามทำแบรนด์ให้ดูมีความ Hi-tech จากการผสมผสานเทคโนโลยีต่างๆ
อย่างไรก็ตามกลายเป็นว่าพนักงานทำงานหนักขึ้น เพราะหุ่นยนต์ได้สร้างปัญหาต่างๆนานา เช่น การตรวจเสียงกรนผิดเป็นคำสั่งปลุก หุ่นยนต์ตอบคำถามง่ายๆ ไม่ได้ จนต้องเรียกขอความช่วยเหลือพนักงานมากกว่าปกติ และแขกก็ดูไม่ค่อยจะประทับใจ สุดท้ายจึงทำการยกเลิกการใช้หุ่นยนต์ไปครึ่งนึง
อีกเหตุการณ์หนึ่งในหนังสือคือข่าวที่พนักงานสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ กระชากผู้โดยสารที่เป็นหมอออกมาจากเครื่องบิน เพราะต้องเอา Staff ที่จำเป็นต้องบินไปด้วย แต่ไม่มีที่นั่ง ระบบเลยพิจารณาแล้วกรรมตกเป็นของคุณหมอ ซึ่งคุณหมอก็มีเหตุต้องไปผ่าตัดคนไข้วันรุ่งขึ้น ซึ่งระบบก็แน่นอนไม่มีข้อมูลตรงนี้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่พอสมควร กับการใช้ระบบและสตาฟที่ไม่มี Human touch
บทเรียนที่สำคัญสำหรับเรื่องทั้งสอง คือ แม้ว่าเราจะรู้สึกว่า Machine เป็นอะไรที่ดีแต่ก็ไม่ควรจะอยู่ในทุก Touchpoint กับลูกค้า
ไม่ใช่ทุกงานจะ Automate ได้โดยเฉพาะงานที่ต้องเจอกับคน
และ Human Touch ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ต่อไป
Customer Experience Touchpoint
แล้วมันมี Touchpoint สำหรับลูกค้าตรงไหนบ้าง ประเด็นสำคัญคือ มันไม่ได้มีเฉพาะตอนที่ลูกค้าใช้สินค้านั้นเท่านั้น แต่ยังมีก่อนและหลัง ซึ่งผู้เขียนก็ได้นำเอา Framework เก่าใน MKT 4.0 อย่าง 5A มาอธิบายนั่นคือ
- Aware — ช่วงที่ลูกค้ารับรู้ถึงตัวตนของเราและสินค้าของเรา โดยอาจจะมีจากประสบการณ์ส่วนตัว, การสื่อสารจากตัวแบรนด์เอง หรือ การแนะนำจากผู้อื่นที่เชื่อถือ
- Appeal — เมื่อรับรู้แล้ว ลูกค้าก็จะพิจารณาข้อมูลและตัดช็อยซ์ ที่ดูน่าสนใจ
- Ask — เมื่อผู้ใช้สนใจ อยากทราบข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจมากขึ้นจึงมีการสอบถาม
- Act — เมื่อพอใจก็จะทำการซื้อ , ใช้งาน , และถ้ามีปัญหาก็จะใช้บริการ Post-Sale Service
- Advocate — หลังจากที่ผู้ใช้ใช้แล้ว ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจ ก็จะมีการใช้ต่อ , ซื้อซ้ำ หรือ แนะนำผู้อื่น
โดยคำแนะนำของการออกแบบ Customer Experience คือ
Orchestrate all touchpoint to deliver seamless CX that is meaningful and memorable for the customers
ฟังดูเหมือน 4P Marketing Mix ถ้าผสมกันดีๆ ก็จะได้อะไรที่ยอดเยี่ยม
เมื่อไหร่จะใช้เครื่องเมื่อไหร่ใช้คน
ก่อนทีจะมาดูกันเราต้องเข้าใจก่อนว่าเครื่องเด่นเรื่องอะไร และคนเด่นเรื่องอะไร
โดยเครื่องจะมีจุดเด่นที่
- ความเร็ว
- ประสิทธิภาพ
ขณะที่คนจะมีจุดเด่นที่
- ความยืดหยุ่น
- ความเข้าใจในบริบทและสถานการณ์
ดังนั้นการเสริมกันระหว่างคนกับเครื่องสามารถทำได้ดังนี้
- ใช้เครื่องในการ Process ข้อมูล แต่สุดท้ายต้องให้คนตัดสินใจตามสถานการณ์และบริบทนั้น
- ให้เครื่องช่วยในการจัดกลุ่มข้อมูล หา pattern ขณะที่คนจะเหมาะสำหรับการหา idea ใหม่ การค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ
- แบ่งสรรปันส่วนความรับผิดชอบลูกค้า เช่น เครื่องอาจจะช่วยรองรับงานที่ไม่ต้องใช้วิจารณญาณเยอะ แต่มีการทำซ้ำบ่อยๆ ขณะที่คนใช้สำหรับงานที่สำคัญ ยกตัวงอย่างเช่น ธนาคาร จะเห็นว่าปัจจุบัน ถ้าจะเบิกเงินถอนเงิน ก็แทบจะไม่ได้ไปหาเจ้าหน้าที่ธนาคารแล้ว ใช้ Application หรือ ตู้ ATM หมด แต่ถ้าจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ เช่นขอคำแนะนำการลงทุน การกู้ซึ่งมีบริบทมากมาย ไม่ได้เป็นกฎที่ชัดเจน ก็จะเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ธนาคารช่วยคิดและแนะนำแทน
ดังนั้นโลกในยุคถัดไปก็จะเห็นการร่วมมือกันของทั้งคนและ หุ่นยนต์มากขึ้น เพื่อออกแบบสร้างสรรประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปิดท้ายด้วยประโยคเริ่มต้นของบทนี้ครับ ซึ่งเป็นประโยคที่ส่วนตัวชอบพอสมควร
Machine are cool, but human are warm